Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Lali

Pages: [1] 2 3 4
1

สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่คิดว่าธุรกิจอยู่ในจุดที่ต้องการปิดงบเปล่า และสงสัยว่าการ ปิดงบเปล่า ทําเองได้ไหม ? วันนี้ นรินทร์ทอง จะมาแชร์วิธีการปิดงบเปล่าด้วยตัวเอง จะมีขั้นตอนยังไงบ้าง และทางเลือกนี้ส่งผลดีต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ? มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันได้ในบทความนี้
ไขข้อสงสัย ปิดงบเปล่า ทำเองได้ไหม? คลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่


ปิดงบเปล่า ทําเองได้ไหม ?

1. ต้องมี "ผู้ทำบัญชี"
  • บุคคลที่จัดทำบัญชีต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี ตามที่กฎหมายกำหนด และผู้ที่จัดทำงบต้องลงนามรับรองในเอกสารในฐานะผู้ทำบัญชี
2. ต้องมี "ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)"
  • งบการเงินของนิติบุคคลทุกแห่ง (รวมถึงงบเปล่า) จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบและรับรอง จาก ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)


อ่านรายละเอียดการปิดงบเปล่า เพิ่มเติมคลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่

ขั้นตอน การปิดงบเปล่า ที่ต้องทำและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่าย

1. การจัดเตรียมเอกสาร (Input)
  • จัดเตรียมและตรวจสอบเอกสารของบริษัท เช่น หนังสือรับรองบริษัท สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น (บอจ. 5) และ Bank Statement ของธนาคาร (ที่ต้องแสดงว่าไม่มีการเคลื่อนไหว)
2. การอนุมัติงบการเงิน
  • จัดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาและอนุมัติงบการเงิน ภายใน 4 เดือน นับจากวันสิ้นรอบบัญชี ซึ่งเป็นขั้นตอนบังคับตามกฎหมายก่อนนำส่งงบการเงิน
3. การลงนามรับรอง
  • กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ต้องเซ็นรับรองในเอกสารที่สำคัญ ได้แก่
- งบการเงิน ที่ผ่านการตรวจสอบโดย CPA แล้ว
- แบบ ภ.ง.ด. 50 สำหรับยื่นกรมสรรพากร
- รายงานการประชุม ของผู้ถือหุ้น
4. การนำส่งเอกสาร (DBD e-Filing)
  • ในทางปฏิบัติมักจะเป็นสำนักงานบัญชีหรือผู้ทำบัญชีดำเนินการให้ แต่ในฐานะกรรมการบริษัท คุณต้องมอบอำนาจให้ผู้ทำบัญชี/ตัวแทน ยื่นงบการเงินและ บอจ. 5 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และแบบ ภ.ง.ด. 50 ต่อกรมสรรพากร ภายในกำหนดเวลา
5. เก็บเอกสารค่าใช้จ่าย
  • หากมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพื่อรักษาสถานะ เช่น ค่าธรรมเนียมธนาคาร หรือค่าบริการทำบัญชี/สอบบัญชี ควรรวบรวมไว้ให้ครบถ้วน

ขั้นตอนที่ ผู้ทำบัญชี รับผิดชอบ ได้แก่

1. การบันทึกรายการบัญชี
2. การจัดทำบัญชีแยกประเภท
3. การจัดทำงบทดลอง
4. การปรับปรุงรายการบัญชี
5. การปิดบัญชี
6. การจัดทำงบการเงิน

ขั้นตอนที่ "ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA)" รับผิดชอบ
1. การตรวจสอบงบการเงิน
  • ตรวจสอบความถูกต้องของรายการบัญชีและงบการเงินว่าได้จัดทำตามมาตรฐานการบัญชีและข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่
2. การออกรายงานผู้สอบบัญชี
  • จัดทำและลงนามในรายงานผู้สอบบัญชี เพื่อแสดงความเห็นต่องบการเงิน (เช่น เห็นว่าถูกต้องตามที่ควร, ไม่แสดงความเห็น หรือแสดงความเห็นว่างบไม่ถูกต้อง)
ศึกษาขั้นการ ปิดงบเปล่า ต่างๆ แบบละเอียดเพิ่มเติมคลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่


ปิดงบเปล่าง่าย ไม่เสี่ยงค่าปรับ ด้วยบริการผู้เชี่ยวชาญจาก นรินทร์ทอง
จากที่อ่านมาจะเห็นว่า ผู้ทำบัญชี และ ผู้สอบบัญชี เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องการปิดงบเปล่า หากคุณต้องการดำเนินการปิดงบเปล่าให้มั่นใจว่าถูกต้องและทันเวลา ขอแนะนำนรินทร์ทอง เราพร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


2


การเริ่มต้นทำ "ธุรกิจแฟรนไชส์" มีหลักการคล้ายกับการทำบัญชีธุรกิจทั่วไป แต่มีจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นรินทร์ทอง จึงอยากมาแนะนำวิธีการวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ สำหรับมือใหม่ที่กังวลว่า จะเริ่มต้นทำธุรกิจแฟรนไชส์ยังไงดี มาดูพร้อมกันไปกับเราบทความนี้

มือใหม่เริ่มต้นศึกษา บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียด คลิกเลย

เริ่มต้นวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ยังไงให้ไม่มีพลาด?

การวางแผนบัญชีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของธุรกิจแฟรนไชส์ และกำหนดโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และการบัญชีที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและควบคุมการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นรินทร์ทอง แนะนำให้คุณเริ่มต้นจากการทำ "ผังบัญชีมาตรฐาน" (Standard Chart of Accounts) เพราะผังบัญชีคือ พิมพ์เขียวทางการเงิน ที่กำหนดว่าธุรกิจจะจัดหมวดหมู่และบันทึกรายการต่างๆ อย่างไร โดยบทความนี้เราจะเน้นเป็นพิเศษที่ ต้นทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย เพราะเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการคำนวณ กำไร/ขาดทุน ในแต่ละวันได้

การบันทึกต้นทุน ของ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
1. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
ต้นทุนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการสร้าง ขยาย และดูแลระบบ ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้า แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญตามแหล่งที่มาของรายได้ ได้แก่ ต้นทุนการขายสิทธิ์, ต้นทุนการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และ ต้นทุนกองทุนการตลาด
2. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
เน้นที่การจัดการต้นทุนการดำเนินงานของสาขา รวมถึงต้นทุนพิเศษที่เกิดจากการซื้อและใช้สิทธิ์แฟรนไชส์ ซึ่งมีความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไปตรงที่ ต้องมีการบันทึกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน และ ค่าใช้จ่ายคงที่ ที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์อย่างสม่ำเสมอ
อ่าน การบันทึกต้นทุน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียดคลิกเลย

รายได้ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
รายได้หลักของแฟรนไชส์ซอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน และมีผลต่อ VAT ที่ต่างกัน ได้แก่
1. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee) เป็นเงินก้อนเดียวที่ได้รับเมื่อมีการเซ็นสัญญา เพื่อแลกกับสิทธิ์การใช้ชื่อ เครื่องหมายการค้า และชุดความรู้เริ่มต้น
2. รายได้ค่าสิทธิ์ (Royalty Fees) เป็นเงินที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ (มักเป็นรายเดือน) คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของแฟรนไชส์ซี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและรักษาระบบ
3. รายได้จากกองทุนการตลาด/โฆษณา (Advertising Fund) เป็นเงินที่เก็บจากแฟรนไชส์ซีตามสัดส่วน เพื่อใช้ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม
2. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
คือ รายได้จากการดำเนินงานของร้านตามปกติ
1. รายได้จากการขายสินค้า/บริการ[/b][/color] เป็นรายได้หลักที่มาจากการขายสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า
2. การจัดการภาษีซื้อและภาษีขาย (VAT Management)[/b][/color] แฟรนไชส์ซีต้องจัดการ VAT ดังนี้

ค่าใช้จ่ายบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
การบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ จะต้องแยกตามบทบาทของธุรกิจ โดยมี ผู้ขายสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซอร์) และ ผู้ซื้อสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซี)
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
แฟรนไชส์ซอร์ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การขยาย และการบริหารจัดการระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด
1. ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนระบบ (System Support & Admin Costs)
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายปฏิบัติการ
  • ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี

  • ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงานใหญ่
2. ต้นทุนการขายและภาระผูกพันเริ่มต้น
  • ค่าคอมมิชชั่นการขาย
  • ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและเอกสาร
3. การจัดการกองทุนการตลาด (Advertising Fund Expense)
  • ค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
แฟรนไชส์ซีต้องบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินงานร้าน และค่าใช้จ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์ ซึ่งสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์
  • ค่าสิทธิ์
  • ค่าธรรมเนียมการตลาด

ค่าใช้จ่ายที่มาจากการดำเนินงานร้าน
  • ต้นทุนสินค้าขาย (COGS)
  • ต้นทุนค่าแรง
  • ค่าเช่าและสาธารณูปโภค
ค่าใช้จ่ายที่มาจากการลงทุนเริ่มต้น (หักแบบตัดจำหน่าย/ค่าเสื่อม) 
  • ค่าตัดจำหน่ายสิทธิ์แฟรนไชส์

  • ค่าเสื่อมราคา

ค่าใช้จ่ายทางภาษีและกฎหมาย
  • ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชี

  • ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ (ถ้ามี)
[centerสนใจอยากศึกษา บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียดคลิกเลย[/center]


วางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ให้สำเร็จ นรินทร์ทอง เราพร้อมให้คำปรึกษา!
การวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง นรินทร์ทอง เข้าใจดีว่าความสำเร็จของแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการตัวเลขที่แม่นยำ และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย นรินทร์ทองเราพร้อมเป็นคู่คิดที่ช่วยคุณวางระบบบัญชี สำหรับการรับรู้รายได้ค่าสิทธิ์ ไปจนถึงการจัดการภาษีซื้อ-ภาษีขาย (VAT) ของทุกสาขา
นอกจากนี้เรายังมีบริการอื่นๆ ที่พร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


3


การเริ่มต้นทำ "ธุรกิจแฟรนไชส์" มีหลักการคล้ายกับการทำบัญชีธุรกิจทั่วไป แต่มีจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นรินทร์ทอง จึงอยากมาแนะนำวิธีการวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ สำหรับมือใหม่ที่กังวลว่า จะเริ่มต้นทำธุรกิจแฟรนไชส์ยังไงดี มาดูพร้อมกันไปกับเราบทความนี้

มือใหม่เริ่มต้นศึกษา บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียด คลิกเลย

เริ่มต้นวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ยังไงให้ไม่มีพลาด?

การวางแผนบัญชีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของธุรกิจแฟรนไชส์ และกำหนดโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน และการบัญชีที่เป็นมาตรฐานและชัดเจน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและควบคุมการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ นรินทร์ทอง แนะนำให้คุณเริ่มต้นจากการทำ "ผังบัญชีมาตรฐาน" (Standard Chart of Accounts) เพราะผังบัญชีคือ พิมพ์เขียวทางการเงิน ที่กำหนดว่าธุรกิจจะจัดหมวดหมู่และบันทึกรายการต่างๆ อย่างไร โดยบทความนี้เราจะเน้นเป็นพิเศษที่ ต้นทุน รายได้ และค่าใช้จ่าย เพราะเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการคำนวณ กำไร/ขาดทุน ในแต่ละวันได้

การบันทึกต้นทุน ของ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
1. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
ต้นทุนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการสร้าง ขยาย และดูแลระบบ ไม่ใช่แค่การผลิตสินค้า แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญตามแหล่งที่มาของรายได้ ได้แก่ ต้นทุนการขายสิทธิ์, ต้นทุนการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และ ต้นทุนกองทุนการตลาด
2. การบันทึกต้นทุนสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
เน้นที่การจัดการต้นทุนการดำเนินงานของสาขา รวมถึงต้นทุนพิเศษที่เกิดจากการซื้อและใช้สิทธิ์แฟรนไชส์ ซึ่งมีความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไปตรงที่ ต้องมีการบันทึกสินทรัพย์ไม่มีตัวตน และ ค่าใช้จ่ายคงที่ ที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์อย่างสม่ำเสมอ
อ่าน การบันทึกต้นทุน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียดคลิกเลย

รายได้ บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
1. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
รายได้หลักของแฟรนไชส์ซอร์แบ่งออกเป็น 3 ส่วน และมีผลต่อ VAT ที่ต่างกัน ได้แก่
1. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee) เป็นเงินก้อนเดียวที่ได้รับเมื่อมีการเซ็นสัญญา เพื่อแลกกับสิทธิ์การใช้ชื่อ เครื่องหมายการค้า และชุดความรู้เริ่มต้น
2. รายได้ค่าสิทธิ์ (Royalty Fees) เป็นเงินที่ได้รับอย่างสม่ำเสมอ (มักเป็นรายเดือน) คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของแฟรนไชส์ซี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนและรักษาระบบ
3. รายได้จากกองทุนการตลาด/โฆษณา (Advertising Fund) เป็นเงินที่เก็บจากแฟรนไชส์ซีตามสัดส่วน เพื่อใช้ในการส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์โดยรวม
2. รายได้สำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
คือ รายได้จากการดำเนินงานของร้านตามปกติ
1. รายได้จากการขายสินค้า/บริการ[/b][/color] เป็นรายได้หลักที่มาจากการขายสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า
2. การจัดการภาษีซื้อและภาษีขาย (VAT Management)[/b][/color] แฟรนไชส์ซีต้องจัดการ VAT ดังนี้

ค่าใช้จ่ายบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์
การบันทึกค่าใช้จ่ายในบัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ จะต้องแยกตามบทบาทของธุรกิจ โดยมี ผู้ขายสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซอร์) และ ผู้ซื้อสิทธิ์ (แฟรนไชส์ซี)
1. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซอร์ (Franchisor)
แฟรนไชส์ซอร์ต้องบันทึกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง การขยาย และการบริหารจัดการระบบแฟรนไชส์ทั้งหมด
1. ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนระบบ (System Support & Admin Costs)
  • ค่าใช้จ่ายฝ่ายปฏิบัติการ
  • ค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี

  • ค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงานใหญ่
2. ต้นทุนการขายและภาระผูกพันเริ่มต้น
  • ค่าคอมมิชชั่นการขาย
  • ค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและเอกสาร
3. การจัดการกองทุนการตลาด (Advertising Fund Expense)
  • ค่าใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์
2. ค่าใช้จ่ายสำหรับแฟรนไชส์ซี (Franchisee)
แฟรนไชส์ซีต้องบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการดำเนินงานร้าน และค่าใช้จ่ายพิเศษที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์ ซึ่งสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์
  • ค่าสิทธิ์
  • ค่าธรรมเนียมการตลาด

ค่าใช้จ่ายที่มาจากการดำเนินงานร้าน
  • ต้นทุนสินค้าขาย (COGS)
  • ต้นทุนค่าแรง
  • ค่าเช่าและสาธารณูปโภค
ค่าใช้จ่ายที่มาจากการลงทุนเริ่มต้น (หักแบบตัดจำหน่าย/ค่าเสื่อม) 
  • ค่าตัดจำหน่ายสิทธิ์แฟรนไชส์

  • ค่าเสื่อมราคา

ค่าใช้จ่ายทางภาษีและกฎหมาย
  • ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชี

  • ค่าธรรมเนียมและค่าปรับ (ถ้ามี)
[centerสนใจอยากศึกษา บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ แบบละเอียดคลิกเลย[/center]


วางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ ให้สำเร็จ นรินทร์ทอง เราพร้อมให้คำปรึกษา!
การวางแผน บัญชีธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคง นรินทร์ทอง เข้าใจดีว่าความสำเร็จของแฟรนไชส์ซอร์และแฟรนไชส์ซีนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดการตัวเลขที่แม่นยำ และเป็นไปตามข้อกำหนดทางกฎหมาย นรินทร์ทองเราพร้อมเป็นคู่คิดที่ช่วยคุณวางระบบบัญชี สำหรับการรับรู้รายได้ค่าสิทธิ์ ไปจนถึงการจัดการภาษีซื้อ-ภาษีขาย (VAT) ของทุกสาขา
นอกจากนี้เรายังมีบริการอื่นๆ ที่พร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


4

ธุรกิจหลายธุรกิจเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว มักจะขยายสาขา หรือ ทำธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) หากคุณกำลังศึกษาเกี่ยวกับการขยายแฟรนไชส์ วันนี้  นรินทร์ทอง จึงอยากมาแชร์เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ "ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์" สำหรับมือใหม่ ถ้าอยากเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ส่งผลกระทบตามมาภายหลัง

ศึกษา ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ เพิ่มเติม อ่านแบบเต็มๆ คลิกที่นี่
การเสียภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องเสียอะไรบ้าง ?

ภาษีเงินได้ (Income Tax)
  • ภาษีเงินได้ถือเป็นภาษีหลักที่ทั้ง แฟรนไชส์ซอร์ (ผู้ให้สิทธิ์) และ แฟรนไชส์ซี (ผู้รับสิทธิ์) ต้องรับผิดชอบ โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ
    1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT)
    • สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) หากมีผลประกอบการต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเรียกเก็บในอัตรา 7% จากผู้ซื้อแฟรนไชส์
    • ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซี) ที่มีผลประกอบการต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน แม้ว่าผู้ซื้อแฟรนไชส์จะไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ตาม
    ภาษีศุลกากร
    • ในกรณีที่เจ้าของแฟรนไชส์ได้มีการนำวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ ในการประกอบธุรกิจเข้ามาจากต่างประเทศ เจ้าของแฟรนไชส์มีหน้าที่ยื่นใบขนสินค้าขาเข้า โดยการลงทะเบียนเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless)
    ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
    • ภาระนี้ตกอยู่กับแฟรนไชส์ซี (ผู้จ่ายเงิน) ที่ต้องหักภาษีไว้ก่อนจ่ายค่าตอบแทนให้แฟรนไชส์ซอร์
    - ค่าแฟรนไชส์/ค่าสิทธิ์ (จ่ายให้บริษัทในไทย) จะต้องยื่นแบบและนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (ออนไลน์ขยายเวลาได้ถึงวันที่ 15) โดยแฟรนไชส์ซีจะหักภาษีไว้ 3% ของยอดที่จ่าย แล้วนำส่งสรรพากร
    - ค่าสิทธิ์ (จ่ายให้บริษัทต่างประเทศ) จะต้องยื่นแบบและนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (ตามแบบ ภ.พ. 36) โดยแฟรนไชส์ซีจะหักภาษีไว้ 15% ของยอดที่จ่าย แล้วนำส่งสรรพากร
    ภาษีป้าย
    • ต้องยื่นแบบ ภ.ป. 1 และชำระภาษีภายในเดือน มี.ค. ของทุกปี (หรือภายใน 15 วันนับจากติดตั้งป้ายใหม่)
     
    อยากรู้วิธีการคำนวณ ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ เพิ่มเติมอ่านแบบเต็มๆ คลิก

    ภาษีแต่ละประเภทต้องเสียตอนไหน ?
    ภาษีเงินได้ (Income Tax)
    • เป็นภาษีที่เก็บจากรายได้หรือกำไรจากการดำเนินกิจการ ซึ่งมีทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยแต่ละรูปแบบมีการยื่นแบบปีละ 2 ครั้ง ได้แก่
    1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    • ภ.ง.ด. 94 (ครึ่งปี) จะเสียจากเงินได้พึงประเมิน 6 เดือนแรก (โดยหักค่าใช้จ่าย/ค่าลดหย่อนตามเกณฑ์) โดยยื่นภายในเดือน ก.ย. ของปีภาษีนั้นๆ (สำหรับเงินได้ ม.ค. - มิ.ย.)
    • ภ.ง.ด. 90 (สิ้นปี) จะเสียจากเงินได้สุทธิทั้งปี (หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) โดยนำภาษีที่จ่ายตาม ภ.ง.ด. 94 มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้  และยื่นภายในเดือน มี.ค. ของปีถัดไป (สำหรับเงินได้ ม.ค. - ธ.ค.)
    2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
    • ภ.ง.ด. 51 (ครึ่งปี) เสียจากการประมาณการกำไรสุทธิ 6 เดือนแรก อัตราหลัก 20% โดยยื่นภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี (เช่น รอบ ม.ค.-ธ.ค. ยื่นภายใน 31 ส.ค. / 8 ก.ย. ทางออนไลน์)
    • ภ.ง.ด. 50 (สิ้นปี) เสียจากกำไรสุทธิทั้งปี โดยนำภาษีที่จ่ายตาม ภ.ง.ด. 51 มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ โดยยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (เช่น รอบ ม.ค.-ธ.ค. ยื่นภายใน 30 พ.ค. / 7 มิ.ย. ของปีถัดไปทางออนไลน์)

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)
    • สำหรับธุรกิจที่มีรายได้จากการขาย/บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และมีภาระภาษีรายเดือน โดยทางเจ้าของแฟรนไชส์และผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องนำส่งภาษี (ภ.พ.30) ที่เรียกเก็บมาแก่กรมสรรพากร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป


    ภาษีศุลกากร
    • ภาษีศุลกากรจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยผู้มีภาระเสียภาษีคือ ผู้นำเข้า ซึ่งจะต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและชำระภาษี ณ ด่านศุลกากร ก่อนนำสินค้าออกจากอารักขา
     

    อย่าเสี่ยงทำบัญชีเอง! ให้ นรินทร์ทอง ดูแลเรื่อง ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ ของคุณครบวงจร
    ไม่อยากให้การดำเนินธุรกิจของคุณสะดุด นรินทร์ทอง การบัญชีและกฎหมาย ผู้มีประสบการณ์กว่า 20 ปี สามารถดูแลความมั่นคงด้านภาษีให้กับธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณได้ โดยทางเรามีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
    • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
    • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
    • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
    • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


    สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
    Facebook : NarinthongOfficial
    E-mail : [email protected]
    Line : @Narinthong
    Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339

5

ธุรกิจหลายธุรกิจเมื่อประสบความสำเร็จแล้ว มักจะขยายสาขา หรือ ทำธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) หากคุณกำลังศึกษาเกี่ยวกับการขยายแฟรนไชส์ วันนี้  นรินทร์ทอง จึงอยากมาแชร์เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ "ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์" สำหรับมือใหม่ ถ้าอยากเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ส่งผลกระทบตามมาภายหลัง

ศึกษา ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ เพิ่มเติม อ่านแบบเต็มๆ คลิกที่นี่
การเสียภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ ต้องเสียอะไรบ้าง ?

ภาษีเงินได้ (Income Tax)
  • ภาษีเงินได้ถือเป็นภาษีหลักที่ทั้ง แฟรนไชส์ซอร์ (ผู้ให้สิทธิ์) และ แฟรนไชส์ซี (ผู้รับสิทธิ์) ต้องรับผิดชอบ โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ
    1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax - VAT)
    • สำหรับเจ้าของแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซอร์) หากมีผลประกอบการต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาท เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเรียกเก็บในอัตรา 7% จากผู้ซื้อแฟรนไชส์
    • ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ (แฟรนไชส์ซี) ที่มีผลประกอบการต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นกัน แม้ว่าผู้ซื้อแฟรนไชส์จะไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลก็ตาม
    ภาษีศุลกากร
    • ในกรณีที่เจ้าของแฟรนไชส์ได้มีการนำวัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ ในการประกอบธุรกิจเข้ามาจากต่างประเทศ เจ้าของแฟรนไชส์มีหน้าที่ยื่นใบขนสินค้าขาเข้า โดยการลงทะเบียนเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้เอกสาร (Paperless)
    ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
    • ภาระนี้ตกอยู่กับแฟรนไชส์ซี (ผู้จ่ายเงิน) ที่ต้องหักภาษีไว้ก่อนจ่ายค่าตอบแทนให้แฟรนไชส์ซอร์
    - ค่าแฟรนไชส์/ค่าสิทธิ์ (จ่ายให้บริษัทในไทย) จะต้องยื่นแบบและนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (ออนไลน์ขยายเวลาได้ถึงวันที่ 15) โดยแฟรนไชส์ซีจะหักภาษีไว้ 3% ของยอดที่จ่าย แล้วนำส่งสรรพากร
    - ค่าสิทธิ์ (จ่ายให้บริษัทต่างประเทศ) จะต้องยื่นแบบและนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (ตามแบบ ภ.พ. 36) โดยแฟรนไชส์ซีจะหักภาษีไว้ 15% ของยอดที่จ่าย แล้วนำส่งสรรพากร
    ภาษีป้าย
    • ต้องยื่นแบบ ภ.ป. 1 และชำระภาษีภายในเดือน มี.ค. ของทุกปี (หรือภายใน 15 วันนับจากติดตั้งป้ายใหม่)
     
    อยากรู้วิธีการคำนวณ ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ เพิ่มเติมอ่านแบบเต็มๆ คลิก

    ภาษีแต่ละประเภทต้องเสียตอนไหน ?
    ภาษีเงินได้ (Income Tax)
    • เป็นภาษีที่เก็บจากรายได้หรือกำไรจากการดำเนินกิจการ ซึ่งมีทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และ ภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยแต่ละรูปแบบมีการยื่นแบบปีละ 2 ครั้ง ได้แก่
    1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
    • ภ.ง.ด. 94 (ครึ่งปี) จะเสียจากเงินได้พึงประเมิน 6 เดือนแรก (โดยหักค่าใช้จ่าย/ค่าลดหย่อนตามเกณฑ์) โดยยื่นภายในเดือน ก.ย. ของปีภาษีนั้นๆ (สำหรับเงินได้ ม.ค. - มิ.ย.)
    • ภ.ง.ด. 90 (สิ้นปี) จะเสียจากเงินได้สุทธิทั้งปี (หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) โดยนำภาษีที่จ่ายตาม ภ.ง.ด. 94 มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้  และยื่นภายในเดือน มี.ค. ของปีถัดไป (สำหรับเงินได้ ม.ค. - ธ.ค.)
    2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
    • ภ.ง.ด. 51 (ครึ่งปี) เสียจากการประมาณการกำไรสุทธิ 6 เดือนแรก อัตราหลัก 20% โดยยื่นภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี (เช่น รอบ ม.ค.-ธ.ค. ยื่นภายใน 31 ส.ค. / 8 ก.ย. ทางออนไลน์)
    • ภ.ง.ด. 50 (สิ้นปี) เสียจากกำไรสุทธิทั้งปี โดยนำภาษีที่จ่ายตาม ภ.ง.ด. 51 มาหักออกจากภาษีที่คำนวณได้ โดยยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (เช่น รอบ ม.ค.-ธ.ค. ยื่นภายใน 30 พ.ค. / 7 มิ.ย. ของปีถัดไปทางออนไลน์)

    ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)
    • สำหรับธุรกิจที่มีรายได้จากการขาย/บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และมีภาระภาษีรายเดือน โดยทางเจ้าของแฟรนไชส์และผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องนำส่งภาษี (ภ.พ.30) ที่เรียกเก็บมาแก่กรมสรรพากร ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป


    ภาษีศุลกากร
    • ภาษีศุลกากรจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยผู้มีภาระเสียภาษีคือ ผู้นำเข้า ซึ่งจะต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและชำระภาษี ณ ด่านศุลกากร ก่อนนำสินค้าออกจากอารักขา
     

    อย่าเสี่ยงทำบัญชีเอง! ให้ นรินทร์ทอง ดูแลเรื่อง ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ ของคุณครบวงจร
    ไม่อยากให้การดำเนินธุรกิจของคุณสะดุด นรินทร์ทอง การบัญชีและกฎหมาย ผู้มีประสบการณ์กว่า 20 ปี สามารถดูแลความมั่นคงด้านภาษีให้กับธุรกิจแฟรนไชส์ของคุณได้ โดยทางเรามีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
    • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
    • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
    • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
    • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


    สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
    Facebook : NarinthongOfficial
    E-mail : [email protected]
    Line : @Narinthong
    Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339

6

การทำธุรกิจขนส่งสินค้าในปัจจุบันกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก การทำธุรกิจในลักษณะนี้ ต้องบริหารหลายอย่างทั้งค่าแรงของพนักงาน ค่างวดรถ ค่าน้ำมัน และค่าอื่นๆ อีกมากมาย แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ "การเสียภาษี" วันนี้ นรินทร์ทอง ไม่พลาดที่เอาข้อมูลดีๆ มาฝากทุกท่าน เกี่ยวกับ การเสีย ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง
สนใจอยากวางแผน ภาษีธุรกิจขนส่ง ดีตั้งแต่ต้น ปรึกษาเราได้!คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่
ทำความเข้าใจ ภาษี ธุรกิจ ขนส่ง ต้องเสียอะไรบ้าง ?

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
สำหรับ "ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)" คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการขายสินค้า/ให้บริการในประเทศ อัตราปัจจุบัน 7% แต่ในธุรกิจขนส่งเป็นธุรกิจที่ได้รับการยกเว้น VAT และไม่มีสิทธิ์จด VAT แม้ว่าจะต้องการจด VAT ก็ตาม แต่ในบางกรณีถ้าหากมีบริการหรือขายสินค้าร่วมด้วย จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ
ธุรกิจขนส่งปกติ ขนส่งจากจุด A ไปจุด B จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
ธุรกิจขนส่งที่มีบริการพ่วงด้วย จะไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น รถห้องเย็น เพราะรถขนส่งไม่สามารถวิ่งไปเฉยๆ จากจุด A ไปจุด B ได้ ต้องมีการเปิดแอร์ทำความเย็นตลอดการขนส่ง หากมีการแพ็กของ หรือการเช่าพื้นที่ ก็ถือเป็นขนส่งที่พ่วงบริการ
อ่านรายละเอียดการเสียภาษีธุรกิจขนส่งคลิกที่นี่
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
"ภาษีหัก ณ ที่จ่าย" คือ ภาษีที่ลูกค้าหักจากค่าขนส่งก่อนจ่ายเงินให้ ซึ่งธุรกิจขนส่งที่จดทะเบียนบริษัทเป็นนิติบุคคล ผู้ว่าจ้างงานหรือกิจการที่เป็นผู้จ่ายเงิน ต้องเป็นคนหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายเงินให้กับผู้รับจ้าง พร้อมออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ตามที่กฎหมายกำหนด
  • ค่าขนส่งโดยตรงจะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 1%
  • บริษัทขนส่งมีการจ้างรถมาร่วมวิ่งด้วย หักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
  • บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หัก 3%
  • ขนส่งปกติจากจุด A ไปจุด B
  • ธุรกิจที่เป็นเฟรนไชส์ให้กับธุรกิจขนส่ง[/b][/color]
3. ภาษีเงินได้ (Income Tax)
1. กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (เจ้าของคนเดียว)
รายได้จากการขนส่งเป็นเงินได้ประเภท 8 มาตรา 40(8) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ เหมาจ่าย 60% หรือ เลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง หากเลือกหักตามจริงจะต้องมีเอกสารในการจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับเงินได้ เช่น แนบสำเนาบัตรประชาชนของผู้รับเงิน และเซ็นรับเงินไว้ พร้อมกับเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐานด้วย
2. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล (บริษัท / หจก.)
ธุรกิจขนส่งที่จดบริษัทเป็นนิติบุคคล คำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% ของกำไรสุทธิ และต้องมีการทำบัญชีและยื่นภาษี ด้วยแบบ ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) และ ภ.ง.ด.51 (ครึ่งปี) โดยกิจการจะต้องมีการจ้างนักบัญชี เพื่อทำบัญชี งบการเงิน และเอกสารที่ต้องใช้ในการทำบัญชีธุรกิจขนส่งนิติบุคคล จะประกอบด้วย
  • ฝั่งรายรับ ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินค่าขนส่ง หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย และเอกสารด้านรายจ่าย Statement
  • ฝั่งรายจ่าย ได้แก่ เอกสารที่จ่ายเป็นค่าน้ำมัน ทางด่วน ค่าซ่อมแซมรถ ค่าประกันรถที่นำมาวิ่งงาน และค่ารถร่วม (ถ้ามี)
อ่านวิธีการเสียภาษีธุรกิจขนส่งแต่ละแบบ พร้อมตัวอย่างการคำนวณแบบละเอียดคลิกที่นี่

สรุป ภาษีธุรกิจขนส่ง แบบเข้าใจง่าย เลือกใช้บริการบัญชีและภาษีอย่างไรไม่ให้พลาด!
จากเนื้อหาในข้างต้นจะเห็นว่า ธุรกิจขนส่งต้องดูแลภาษีหลายด้าน ทั้ง ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษี หัก ณ ที่จ่าย และ ภาษีเงินได้ เพราะฉะนั้นการจัดการภาษีอย่างถูกต้อง คือหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจขนส่ง หากคุณไม่มั่นใจว่าจะเริ่มตรงไหน หรืออยากลดความเสี่ยงจากค่าปรับและภาษีย้อนหลังนรินทร์ทอง เราพร้อมดูแลคุณครบวงจร ทั้งด้านบัญชี การวางแผนภาษี และการให้คำปรึกษา ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




7

สำหรับท่านใดที่อยากเปิดธุรกิจเสริมความงาม แต่ไม่แน่ใจว่าต้อง จด VAT ไหม วันนี้ นรินทร์ทอง จะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า คลินิก ความ งาม ต้อง จด VAT ไหม ? แล้วแบบไหนต้องเสีย Vat และแบบไหนได้รับการยกเว้น ? เพื่อการวางแผนทางการเงิน และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
อยากศึกษาเรื่องการจด VAT ก่อนประกอบธุรกิจคลินิกเสริมความงามสนใจคลิกที่นี่
คลินิก ความ งาม ต้อง จด VAT ไหม ?


1. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามต้องจด VAT ไหม
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมาย คุณต้องจด VAT อย่างถูกต้อง
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ยกเว้นกรณีที่ต้องการจดทะเบียน VAT โดยสมัครใจ) ไม่ต้องจด VAT
2. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามจด VAT ตอนไหน
  • กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
  • ยกตัวอย่างเช่น: วันที่ 1 มกราคม 2568 คุณเปิดคลินิกเสริมความงาม
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ยอดรวมรายได้สะสมของคุณตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 สิงหาคม มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ภายในวันที่ 14 กันยายน 2568[/li][/list]


8]แบบไหนต้องเสีย VAT แบบไหนได้รับการยกเว้น

1. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามต้องจด VAT ไหม
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมาย คุณต้องจด VAT อย่างถูกต้อง
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ยกเว้นกรณีที่ต้องการจดทะเบียน VAT โดยสมัครใจ) ไม่ต้องจด VAT
2. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามจด VAT ตอนไหน
  • กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
    • ยกตัวอย่างเช่น: วันที่ 1 มกราคม 2568 คุณเปิดคลินิกเสริมความงาม
      วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ยอดรวมรายได้สะสมของคุณตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 สิงหาคม มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ภายในวันที่ 14 กันยายน 2568

      แบบไหนต้องเสีย VAT แบบไหนได้รับการยกเว้น


      1. รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Exempt)
      รายได้ประเภทนี้คือ รายได้ที่มาจากการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคตามประมวลรัษฎากร ซึ่งคลินิกจะต้องจดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ยกตัวอย่างเช่น การรักษาโรคทั่วไป, การรักษาทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง, การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อการรักษา
      หากคลินิกมีการขายยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาดังกล่าว และมีการให้คำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษาอย่างถูกต้อง จะถือเป็นส่วนหนึ่งของรายได้จากการรักษาพยาบาลที่ได้รับยกเว้นภาษีด้วย
      ทำความเข้าใจรายได้แต่ละรูปแบบ ของธุรกิจเสริมความงามคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่
      2. รายได้ที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Not Exempt)
      รายได้ประเภทนี้คือ รายได้ที่มาจากการให้บริการที่เน้นด้านความสวยความงามเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น หัตถการเพื่อความงาม, การขายอาหารเสริม, บริการเสริมอื่นๆ ที่เน้นความงาม
      เมื่อมีรายได้เหล่านี้เกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คิด VAT 7% และออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ได้รับเงินจากลูกค้า
      สนใจเปิดคลินิกความงาม มองหาที่ปรึกษาด้านบัญชี แนะนำที่ นรินทร์ทอง สนใจคลิก


      คลินิกความงามต้องจด VAT ไหม ? อยากหาที่ปรึกษา ที่ นรินทร์ทอง เราพร้อมให้คำแนะนำ
      เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นกับการพัฒนาธุรกิจ และดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ไร้กังวลเรื่องภาษีที่ซับซ้อน ให้ บริษัท นรินทร์ทอง จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านภาษีคู่คิด ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น

      • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
      • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
      • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
      • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


      สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
      Facebook : NarinthongOfficial
      E-mail : [email protected]
      Line : @Narinthong
      Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339

8

สำหรับท่านใดที่อยากเปิดธุรกิจเสริมความงาม แต่ไม่แน่ใจว่าต้อง จด VAT ไหม วันนี้ นรินทร์ทอง จะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า คลินิก ความ งาม ต้อง จด VAT ไหม ? แล้วแบบไหนต้องเสีย Vat และแบบไหนได้รับการยกเว้น ? เพื่อการวางแผนทางการเงิน และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
อยากศึกษาเรื่องการจด VAT ก่อนประกอบธุรกิจคลินิกเสริมความงามสนใจคลิกที่นี่
คลินิก ความ งาม ต้อง จด VAT ไหม ?


1. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามต้องจด VAT ไหม
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมาย คุณต้องจด VAT อย่างถูกต้อง
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ยกเว้นกรณีที่ต้องการจดทะเบียน VAT โดยสมัครใจ) ไม่ต้องจด VAT
2. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามจด VAT ตอนไหน
  • กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
  • ยกตัวอย่างเช่น: วันที่ 1 มกราคม 2568 คุณเปิดคลินิกเสริมความงาม
วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ยอดรวมรายได้สะสมของคุณตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 สิงหาคม มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ภายในวันที่ 14 กันยายน 2568[/li][/list]


8]แบบไหนต้องเสีย VAT แบบไหนได้รับการยกเว้น

1. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามต้องจด VAT ไหม
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมาย คุณต้องจด VAT อย่างถูกต้อง
  • ถ้าธุรกิจคลินิกเสริมความงามของคุณ มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ยกเว้นกรณีที่ต้องการจดทะเบียน VAT โดยสมัครใจ) ไม่ต้องจด VAT
2. ธุรกิจคลินิกเสริมความงามจด VAT ตอนไหน
  • กฎหมายกำหนดให้จดทะเบียน VAT ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
    • ยกตัวอย่างเช่น: วันที่ 1 มกราคม 2568 คุณเปิดคลินิกเสริมความงาม
      วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ยอดรวมรายได้สะสมของคุณตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 15 สิงหาคม มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียน VAT ภายในวันที่ 14 กันยายน 2568

      แบบไหนต้องเสีย VAT แบบไหนได้รับการยกเว้น


      1. รายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Exempt)
      รายได้ประเภทนี้คือ รายได้ที่มาจากการให้บริการทางการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคตามประมวลรัษฎากร ซึ่งคลินิกจะต้องจดทะเบียนเป็นสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ยกตัวอย่างเช่น การรักษาโรคทั่วไป, การรักษาทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง, การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อการรักษา
      หากคลินิกมีการขายยาหรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาดังกล่าว และมีการให้คำแนะนำจากแพทย์ผู้รักษาอย่างถูกต้อง จะถือเป็นส่วนหนึ่งของรายได้จากการรักษาพยาบาลที่ได้รับยกเว้นภาษีด้วย
      ทำความเข้าใจรายได้แต่ละรูปแบบ ของธุรกิจเสริมความงามคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่
      2. รายได้ที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Not Exempt)
      รายได้ประเภทนี้คือ รายได้ที่มาจากการให้บริการที่เน้นด้านความสวยความงามเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ยกตัวอย่างเช่น หัตถการเพื่อความงาม, การขายอาหารเสริม, บริการเสริมอื่นๆ ที่เน้นความงาม
      เมื่อมีรายได้เหล่านี้เกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม คิด VAT 7% และออกใบกำกับภาษีทุกครั้งที่ได้รับเงินจากลูกค้า
      สนใจเปิดคลินิกความงาม มองหาที่ปรึกษาด้านบัญชี แนะนำที่ นรินทร์ทอง สนใจคลิก


      คลินิกความงามต้องจด VAT ไหม ? อยากหาที่ปรึกษา ที่ นรินทร์ทอง เราพร้อมให้คำแนะนำ
      เพื่อให้คุณสามารถมุ่งเน้นกับการพัฒนาธุรกิจ และดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ไร้กังวลเรื่องภาษีที่ซับซ้อน ให้ บริษัท นรินทร์ทอง จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านภาษีคู่คิด ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น

      • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
      • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
      • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
      • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


      สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
      Facebook : NarinthongOfficial
      E-mail : [email protected]
      Line : @Narinthong
      Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




9

“ธุรกิจขนส่ง" เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและรายละเอียดเยอะ ทั้งค่าน้ำมัน, ค่าซ่อมบำรุง, ค่าประกันภัย, ค่าแรงคนขับ ดังนั้น การวางแผน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดย นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจการวางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ก่อนเริ่มต้นธุรกิจอย่างถูกต้อง
เริ่มต้นวางแผนทำบัญชีธุรกิจขนส่งคลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่
การวางแผนธุรกิจขนส่ง เริ่มจากอะไร


1. วิเคราะห์ตลาด และลูกค้าเป้าหมาย
  • สำรวจความต้องการ: วิเคราะห์ความต้องการในพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงประเภทสินค้าและบริการที่ต้องการขนส่ง

  • ศึกษาคู่แข่ง: ตรวจสอบคู่แข่งในตลาดและวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา

2. จัดทำแผนธุรกิจ
  • กำหนดเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ
  • วางกลยุทธ์: กำหนดกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงาน

3. การวางแผนต้นทุนและการเงิน
  • ต้นทุนคงที่: รถขนส่ง, ค่าเสื่อม, ค่าประกันภัย

  • ต้นทุนผันแปร: น้ำมัน, ค่าทางด่วน, ค่าแรงพนักงาน

  • เงินทุนหมุนเวียน: ในส่วนนี้ต้องมีไว้จ่ายก่อน เช่น น้ำมัน (แต่ลูกค้าอาจจ่ายปลายเดือน)

4. การวางระบบบัญชีและภาษี - ธุรกิจขนส่งเกี่ยวข้องกับภาษีหลัก 3 อย่าง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ต้องจดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรายได้และประเภทการขนส่ง
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ลูกค้ามักจะหักไว้ 1–3% ทุกครั้ง
  • ภาษีเงินได้: บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า) หรือ นิติบุคคล (20% ของกำไรสุทธิ)
5. การจัดการด้านกฎหมายและใบอนุญาต
  • จดทะเบียนธุรกิจ: พิจารณาเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล
  • ขอใบอนุญาตและขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนรถขนส่ง, ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการขนส่ง (กรณีบางประเภท)
  • ตรวจสอบกฎหมาย: ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง
  • จัดหาประกันภัย: ประกันภัยรถขนส่ง / ประกันภัยสินค้าระหว่างขนส่ง

ต้นทุนของการทำธุรกิจขนส่ง

1. ต้นทุนตรง (Direct Costs)
  • ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง - ต้นทุนหลัก คิดเป็นสัดส่วนสูงสุด
  • ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ - ยาง เครื่องยนต์ ระบบเบรก ฯลฯ
  • ค่าเสื่อมราคารถขนส่ง - รถบรรทุก รถตู้ หรือรถกระบะที่ใช้ในการขนส่ง
  • ค่าประกันภัยและภาษีรถ - ทั้งประกันภัยภาคบังคับและสมัครใจ
  • ค่าทางด่วน/ค่าผ่านทาง/ค่าขนถ่ายสินค้า
2. ต้นทุนแรงงาน (Labor Costs)
  • เงินเดือนและสวัสดิการพนักงานขับรถ
  • ค่าแรงคนงานขนถ่ายสินค้า
  • ค่าอบรม/ค่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกเฉพาะทาง
3. ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Costs)
  • ค่าเช่าออฟฟิศ/โกดัง
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
  • ค่าซอฟต์แวร์บริหารงานขนส่ง (TMS), GPS Tracking
  • ค่าใช้จ่ายสำนักงานทั่วไป
ศึกษาต้นทุนการทำบัญชีธุรกิจขนส่งแบบละเอียดอ่านเพิ่มเติมคลิก

รายได้ของทำบัญชีธุรกิจขนส่ง

1. รายได้จากการให้บริการขนส่ง (หลัก)
  • ค่าขนส่งตามระยะทาง (คิดกิโลเมตร/เที่ยว/เส้นทาง)
  • ค่าขนส่งแบบเหมาคัน, เหมาตู้ หรือเหมารายเดือน
  • ค่าบริการขนส่งด่วนพิเศษ (Express / Same-day delivery)
2. รายได้จากการบริการเสริม
  • ค่าบริการยก-ขนถ่ายสินค้า (Loading/Unloading)
  • ค่าบริการจัดเก็บหรือกระจายสินค้า (Warehousing & Distribution)
  • ค่าบริการบรรจุหีบห่อ (Packaging)
  • ค่าประกันสินค้าเพิ่มเติมระหว่างขนส่ง
3. รายได้จากการเช่าใช้ทรัพย์สิน
  • รายได้จากการให้เช่ารถขนส่งพร้อมคนขับ
  • รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้า/พื้นที่เก็บของ
4. รายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการอื่น ๆ
  • ค่าธรรมเนียมจอดรถ/พักสินค้า
  • ค่าดำเนินการเอกสาร (เช่น ใบขนสินค้า ใบตราส่ง Bill of Lading)
  • ค่าบริการจัดการภาษีหรือพิธีการศุลกากร (สำหรับขนส่งระหว่างประเทศ)
5. รายได้ทางการเงิน/อื่น ๆ
  • ดอกเบี้ยรับ (เช่น จากเงินฝากธุรกิจ)
  • รายได้จากการขายสินทรัพย์ เช่น รถบรรทุกเก่า
  • รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น รายได้จากการเช่า, รายได้จากค่าธรรมเนียม, รายได้ทางการเงิน
วางแผนทำธุรกิจขนส่งรอบด้านตั้งแต่ต้น ลดความเสี่ยงทางกฎหมายและภาษีสนใจคลิก!

ลดต้นทุน เพิ่มกำไร วางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง กับ นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี
การเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง  นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี จะช่วยจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การบันทึกบัญชี การวางแผนภาษี จนถึงการปิดงบการเงิน ทำให้คุณโฟกัสกับการขยายธุรกิจได้เต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจขนส่งเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ เพราะเราให้คำปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




10

“ธุรกิจขนส่ง" เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและรายละเอียดเยอะ ทั้งค่าน้ำมัน, ค่าซ่อมบำรุง, ค่าประกันภัย, ค่าแรงคนขับ ดังนั้น การวางแผน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดย นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจการวางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ก่อนเริ่มต้นธุรกิจอย่างถูกต้อง
เริ่มต้นวางแผนทำบัญชีธุรกิจขนส่งคลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่
การวางแผนธุรกิจขนส่ง เริ่มจากอะไร


1. วิเคราะห์ตลาด และลูกค้าเป้าหมาย
  • สำรวจความต้องการ: วิเคราะห์ความต้องการในพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงประเภทสินค้าและบริการที่ต้องการขนส่ง

  • ศึกษาคู่แข่ง: ตรวจสอบคู่แข่งในตลาดและวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา

2. จัดทำแผนธุรกิจ
  • กำหนดเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ
  • วางกลยุทธ์: กำหนดกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงาน

3. การวางแผนต้นทุนและการเงิน
  • ต้นทุนคงที่: รถขนส่ง, ค่าเสื่อม, ค่าประกันภัย

  • ต้นทุนผันแปร: น้ำมัน, ค่าทางด่วน, ค่าแรงพนักงาน

  • เงินทุนหมุนเวียน: ในส่วนนี้ต้องมีไว้จ่ายก่อน เช่น น้ำมัน (แต่ลูกค้าอาจจ่ายปลายเดือน)

4. การวางระบบบัญชีและภาษี - ธุรกิจขนส่งเกี่ยวข้องกับภาษีหลัก 3 อย่าง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ต้องจดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรายได้และประเภทการขนส่ง
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ลูกค้ามักจะหักไว้ 1–3% ทุกครั้ง
  • ภาษีเงินได้: บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า) หรือ นิติบุคคล (20% ของกำไรสุทธิ)
5. การจัดการด้านกฎหมายและใบอนุญาต
  • จดทะเบียนธุรกิจ: พิจารณาเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล
  • ขอใบอนุญาตและขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนรถขนส่ง, ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการขนส่ง (กรณีบางประเภท)
  • ตรวจสอบกฎหมาย: ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง
  • จัดหาประกันภัย: ประกันภัยรถขนส่ง / ประกันภัยสินค้าระหว่างขนส่ง

ต้นทุนของการทำธุรกิจขนส่ง

1. ต้นทุนตรง (Direct Costs)
  • ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง - ต้นทุนหลัก คิดเป็นสัดส่วนสูงสุด
  • ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ - ยาง เครื่องยนต์ ระบบเบรก ฯลฯ
  • ค่าเสื่อมราคารถขนส่ง - รถบรรทุก รถตู้ หรือรถกระบะที่ใช้ในการขนส่ง
  • ค่าประกันภัยและภาษีรถ - ทั้งประกันภัยภาคบังคับและสมัครใจ
  • ค่าทางด่วน/ค่าผ่านทาง/ค่าขนถ่ายสินค้า
2. ต้นทุนแรงงาน (Labor Costs)
  • เงินเดือนและสวัสดิการพนักงานขับรถ
  • ค่าแรงคนงานขนถ่ายสินค้า
  • ค่าอบรม/ค่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกเฉพาะทาง
3. ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Costs)
  • ค่าเช่าออฟฟิศ/โกดัง
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
  • ค่าซอฟต์แวร์บริหารงานขนส่ง (TMS), GPS Tracking
  • ค่าใช้จ่ายสำนักงานทั่วไป
ศึกษาต้นทุนการทำบัญชีธุรกิจขนส่งแบบละเอียดอ่านเพิ่มเติมคลิก

รายได้ของทำบัญชีธุรกิจขนส่ง

1. รายได้จากการให้บริการขนส่ง (หลัก)
  • ค่าขนส่งตามระยะทาง (คิดกิโลเมตร/เที่ยว/เส้นทาง)
  • ค่าขนส่งแบบเหมาคัน, เหมาตู้ หรือเหมารายเดือน
  • ค่าบริการขนส่งด่วนพิเศษ (Express / Same-day delivery)
2. รายได้จากการบริการเสริม
  • ค่าบริการยก-ขนถ่ายสินค้า (Loading/Unloading)
  • ค่าบริการจัดเก็บหรือกระจายสินค้า (Warehousing & Distribution)
  • ค่าบริการบรรจุหีบห่อ (Packaging)
  • ค่าประกันสินค้าเพิ่มเติมระหว่างขนส่ง
3. รายได้จากการเช่าใช้ทรัพย์สิน
  • รายได้จากการให้เช่ารถขนส่งพร้อมคนขับ
  • รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้า/พื้นที่เก็บของ
4. รายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการอื่น ๆ
  • ค่าธรรมเนียมจอดรถ/พักสินค้า
  • ค่าดำเนินการเอกสาร (เช่น ใบขนสินค้า ใบตราส่ง Bill of Lading)
  • ค่าบริการจัดการภาษีหรือพิธีการศุลกากร (สำหรับขนส่งระหว่างประเทศ)
5. รายได้ทางการเงิน/อื่น ๆ
  • ดอกเบี้ยรับ (เช่น จากเงินฝากธุรกิจ)
  • รายได้จากการขายสินทรัพย์ เช่น รถบรรทุกเก่า
  • รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น รายได้จากการเช่า, รายได้จากค่าธรรมเนียม, รายได้ทางการเงิน
วางแผนทำธุรกิจขนส่งรอบด้านตั้งแต่ต้น ลดความเสี่ยงทางกฎหมายและภาษีสนใจคลิก!

ลดต้นทุน เพิ่มกำไร วางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง กับ นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี
การเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง  นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี จะช่วยจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การบันทึกบัญชี การวางแผนภาษี จนถึงการปิดงบการเงิน ทำให้คุณโฟกัสกับการขยายธุรกิจได้เต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจขนส่งเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ เพราะเราให้คำปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




11

“ธุรกิจขนส่ง" เป็นธุรกิจที่มีต้นทุนสูงและรายละเอียดเยอะ ทั้งค่าน้ำมัน, ค่าซ่อมบำรุง, ค่าประกันภัย, ค่าแรงคนขับ ดังนั้น การวางแผน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดย นรินทร์ทอง จะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจการวางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง ก่อนเริ่มต้นธุรกิจอย่างถูกต้อง
เริ่มต้นวางแผนทำบัญชีธุรกิจขนส่งคลิกอ่านบทความเต็มๆ ที่นี่
การวางแผนธุรกิจขนส่ง เริ่มจากอะไร


1. วิเคราะห์ตลาด และลูกค้าเป้าหมาย
  • สำรวจความต้องการ: วิเคราะห์ความต้องการในพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงประเภทสินค้าและบริการที่ต้องการขนส่ง

  • ศึกษาคู่แข่ง: ตรวจสอบคู่แข่งในตลาดและวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา

2. จัดทำแผนธุรกิจ
  • กำหนดเป้าหมาย: ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาวของธุรกิจ
  • วางกลยุทธ์: กำหนดกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงาน

3. การวางแผนต้นทุนและการเงิน
  • ต้นทุนคงที่: รถขนส่ง, ค่าเสื่อม, ค่าประกันภัย

  • ต้นทุนผันแปร: น้ำมัน, ค่าทางด่วน, ค่าแรงพนักงาน

  • เงินทุนหมุนเวียน: ในส่วนนี้ต้องมีไว้จ่ายก่อน เช่น น้ำมัน (แต่ลูกค้าอาจจ่ายปลายเดือน)

4. การวางระบบบัญชีและภาษี - ธุรกิจขนส่งเกี่ยวข้องกับภาษีหลัก 3 อย่าง
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ต้องจดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับรายได้และประเภทการขนส่ง
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ลูกค้ามักจะหักไว้ 1–3% ทุกครั้ง
  • ภาษีเงินได้: บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า) หรือ นิติบุคคล (20% ของกำไรสุทธิ)
5. การจัดการด้านกฎหมายและใบอนุญาต
  • จดทะเบียนธุรกิจ: พิจารณาเป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล
  • ขอใบอนุญาตและขึ้นทะเบียน: ขึ้นทะเบียนรถขนส่ง, ยื่นขอใบอนุญาตประกอบการขนส่ง (กรณีบางประเภท)
  • ตรวจสอบกฎหมาย: ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง
  • จัดหาประกันภัย: ประกันภัยรถขนส่ง / ประกันภัยสินค้าระหว่างขนส่ง

ต้นทุนของการทำธุรกิจขนส่ง

1. ต้นทุนตรง (Direct Costs)
  • ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง - ต้นทุนหลัก คิดเป็นสัดส่วนสูงสุด
  • ค่าซ่อมบำรุงและอะไหล่ - ยาง เครื่องยนต์ ระบบเบรก ฯลฯ
  • ค่าเสื่อมราคารถขนส่ง - รถบรรทุก รถตู้ หรือรถกระบะที่ใช้ในการขนส่ง
  • ค่าประกันภัยและภาษีรถ - ทั้งประกันภัยภาคบังคับและสมัครใจ
  • ค่าทางด่วน/ค่าผ่านทาง/ค่าขนถ่ายสินค้า
2. ต้นทุนแรงงาน (Labor Costs)
  • เงินเดือนและสวัสดิการพนักงานขับรถ
  • ค่าแรงคนงานขนถ่ายสินค้า
  • ค่าอบรม/ค่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกเฉพาะทาง
3. ต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Costs)
  • ค่าเช่าออฟฟิศ/โกดัง
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
  • ค่าซอฟต์แวร์บริหารงานขนส่ง (TMS), GPS Tracking
  • ค่าใช้จ่ายสำนักงานทั่วไป
ศึกษาต้นทุนการทำบัญชีธุรกิจขนส่งแบบละเอียดอ่านเพิ่มเติมคลิก

รายได้ของทำบัญชีธุรกิจขนส่ง

1. รายได้จากการให้บริการขนส่ง (หลัก)
  • ค่าขนส่งตามระยะทาง (คิดกิโลเมตร/เที่ยว/เส้นทาง)
  • ค่าขนส่งแบบเหมาคัน, เหมาตู้ หรือเหมารายเดือน
  • ค่าบริการขนส่งด่วนพิเศษ (Express / Same-day delivery)
2. รายได้จากการบริการเสริม
  • ค่าบริการยก-ขนถ่ายสินค้า (Loading/Unloading)
  • ค่าบริการจัดเก็บหรือกระจายสินค้า (Warehousing & Distribution)
  • ค่าบริการบรรจุหีบห่อ (Packaging)
  • ค่าประกันสินค้าเพิ่มเติมระหว่างขนส่ง
3. รายได้จากการเช่าใช้ทรัพย์สิน
  • รายได้จากการให้เช่ารถขนส่งพร้อมคนขับ
  • รายได้จากการให้เช่าคลังสินค้า/พื้นที่เก็บของ
4. รายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการอื่น ๆ
  • ค่าธรรมเนียมจอดรถ/พักสินค้า
  • ค่าดำเนินการเอกสาร (เช่น ใบขนสินค้า ใบตราส่ง Bill of Lading)
  • ค่าบริการจัดการภาษีหรือพิธีการศุลกากร (สำหรับขนส่งระหว่างประเทศ)
5. รายได้ทางการเงิน/อื่น ๆ
  • ดอกเบี้ยรับ (เช่น จากเงินฝากธุรกิจ)
  • รายได้จากการขายสินทรัพย์ เช่น รถบรรทุกเก่า
  • รายได้อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น รายได้จากการเช่า, รายได้จากค่าธรรมเนียม, รายได้ทางการเงิน
วางแผนทำธุรกิจขนส่งรอบด้านตั้งแต่ต้น ลดความเสี่ยงทางกฎหมายและภาษีสนใจคลิก!

ลดต้นทุน เพิ่มกำไร วางแผน ทำบัญชีธุรกิจขนส่ง กับ นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี
การเลือกใช้ผู้เชี่ยวชาญอย่าง  นรินทร์ทอง การบัญชีและภาษี จะช่วยจัดการทุกขั้นตอน ตั้งแต่การบันทึกบัญชี การวางแผนภาษี จนถึงการปิดงบการเงิน ทำให้คุณโฟกัสกับการขยายธุรกิจได้เต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจขนส่งเดินหน้าได้อย่างมั่นใจ เพราะเราให้คำปรึกษาด้านการทำบัญชี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339

12

เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ ประเด็นแรกๆ ที่ควรให้ความสำคัญ คือ "การจดทะเบียนบริษัท" ว่าจะเป็นในรูปแบบ “บุคคลธรรมดา” หรือ “นิติบุคคล” เพราะ 2 รูปแบบนี้มีความต่างกันทั้งในเรื่องข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการจัดทำบัญชีและภาษี ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย ถ้าไม่อยากพลาดข้อมูลดีๆ เหล่านี้ นรินทร์ทอง มีสาระดีๆ มานำเสนอ
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดาต่าง กัน อย่างไร ?หาคำตอบเพิ่มเติมที่นี่
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ?

1. ความรับผิดชอบต่อหนี้สิน
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ต้องรับผิดชอบไม่จำกัด สามารถนำทรัพย์สินส่วนตัวมาชดใช้หนี้ธุรกิจได้
  • สำหรับนิติบุคคล: จำกัดความรับผิดตามทุนที่ลงทุน เช่น ผู้ถือหุ้นลงทุน 100,000 บาท ก็รับผิดชอบแค่ในวงเงินนั้น
2. การเสียภาษี
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: อัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 35% โดยการคำนวณภาษีมี 2 วิธี
วิธีที่ 1 เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีก้าวหน้า (เงินได้สุทธิ = รายได้ – รายจ่าย – ค่าลดหย่อน)
วิธีที่ 2 รายได้นอกเหนือจากเงินเดือน หรือค่าจ้างแรงงานก่อนหักค่าใช้จ่าย x 0.5%
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการจะเสียภาษีจากกำไรสุทธิ (รายได้-รายจ่าย) อัตราภาษี หากเป็นนิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% สำหรับ SME มีการยกเว้น/ลดหย่อน อัตราภาษีในลักษณะขั้นบันได สูงสุดไม่เกิน 20%

3. การคำนวณค่าใช้จ่าย
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: สามารถเลือกหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 วิธี คือ 1. หักแบบเหมา โดยไม่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่าย แต่ส่วนใหญ่จะหักได้น้อยกว่าหักค่าใช้จ่ายตามจริง และ 2. หักตามจริง ซึ่งต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่ายนั้นๆ
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการ SME จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สามารถนำรายการค่าใช้จ่ายบางประเภทมาหักได้มากกว่าค่าใช้จ่ายจริง สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภทในอัตราเร่งได้ (นับจากวันที่ได้มา)

4. อายุธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: จะสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าของเสียชีวิตหรือหยุดกิจการ
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถอยู่ต่อได้แม้เจ้าของเปลี่ยนมือ และสามารถโอนหุ้นหรือสืบทอดกิจการได้
5. การขยายธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ใช้ทุนส่วนตัวเป็นหลัก อาจกู้ยืมได้ยาก
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถจัดระดมทุน เพิ่มทุน หรือจัดหาพันธมิตรธุรกิจได้ง่ายกว่า
ศึกษาการทำธุรกิจรูปแบบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ก่อนทำกิจการคลิกอ่านเต็มๆ ที่นี่

เปรียบเทียบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา แบบไหนเหมาะกับคุณ
การทำธุรกิจรูปแบบ “บุคคลธรรมดา”

การทำธุรกิจรูปแบบนี้ส่วนมากจะเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของลงทุนคนเดียว หรือในลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่ได้จดทะเบียน) ซึ่งมีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และถึงแม้ไม่ต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี แต่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงรายได้ รายจ่าย ผลกําไรหรือขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
การทำธุรกิจรูปแบบ “นิติบุคคล”

ธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล จะมีทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รูปแบบนี้จะต้องมีการจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี พร้อมทั้งมีผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชี จึงทำให้ง่ายต่อการขยายกิจการ การติดต่อกับลูกค้า หรือแม้แต่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็สามารถทำได้ง่ายกว่าเช่นกัน เนื่องจากมีข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือ  แต่หากมองเรื่องของความเสี่ยงในแง่ความรับผิดชอบในหนี้สิน ก็จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะธุรกิจจะถูกแยกจากตัวเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน
อยากรู้รายละเอียดการทำธุรกิจแต่ละรูปแบบเพิ่มเติมคลิกอ่านได้ที่นี่

นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ? มุมมองที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนวางแผนภาษี
การทำความเข้าใจว่า นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะการทำความเข้าใจถึงบริบทความแตกต่างของ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา จะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางธุรกิจที่เหมาะสม ประหยัดภาษี ลดความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการเติบโตระยะยาว 
สนใจอยากวางแผนภาษี ขอแนะนำนรินทร์ทอง เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีโดยตรง ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น


  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




13

เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ ประเด็นแรกๆ ที่ควรให้ความสำคัญ คือ "การจดทะเบียนบริษัท" ว่าจะเป็นในรูปแบบ “บุคคลธรรมดา” หรือ “นิติบุคคล” เพราะ 2 รูปแบบนี้มีความต่างกันทั้งในเรื่องข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการจัดทำบัญชีและภาษี ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย ถ้าไม่อยากพลาดข้อมูลดีๆ เหล่านี้ นรินทร์ทอง มีสาระดีๆ มานำเสนอ
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดาต่าง กัน อย่างไร ?หาคำตอบเพิ่มเติมที่นี่
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ?

1. ความรับผิดชอบต่อหนี้สิน
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ต้องรับผิดชอบไม่จำกัด สามารถนำทรัพย์สินส่วนตัวมาชดใช้หนี้ธุรกิจได้
  • สำหรับนิติบุคคล: จำกัดความรับผิดตามทุนที่ลงทุน เช่น ผู้ถือหุ้นลงทุน 100,000 บาท ก็รับผิดชอบแค่ในวงเงินนั้น
2. การเสียภาษี
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: อัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 35% โดยการคำนวณภาษีมี 2 วิธี
วิธีที่ 1 เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีก้าวหน้า (เงินได้สุทธิ = รายได้ – รายจ่าย – ค่าลดหย่อน)
วิธีที่ 2 รายได้นอกเหนือจากเงินเดือน หรือค่าจ้างแรงงานก่อนหักค่าใช้จ่าย x 0.5%
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการจะเสียภาษีจากกำไรสุทธิ (รายได้-รายจ่าย) อัตราภาษี หากเป็นนิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% สำหรับ SME มีการยกเว้น/ลดหย่อน อัตราภาษีในลักษณะขั้นบันได สูงสุดไม่เกิน 20%

3. การคำนวณค่าใช้จ่าย
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: สามารถเลือกหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 วิธี คือ 1. หักแบบเหมา โดยไม่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่าย แต่ส่วนใหญ่จะหักได้น้อยกว่าหักค่าใช้จ่ายตามจริง และ 2. หักตามจริง ซึ่งต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่ายนั้นๆ
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการ SME จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สามารถนำรายการค่าใช้จ่ายบางประเภทมาหักได้มากกว่าค่าใช้จ่ายจริง สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภทในอัตราเร่งได้ (นับจากวันที่ได้มา)

4. อายุธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: จะสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าของเสียชีวิตหรือหยุดกิจการ
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถอยู่ต่อได้แม้เจ้าของเปลี่ยนมือ และสามารถโอนหุ้นหรือสืบทอดกิจการได้
5. การขยายธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ใช้ทุนส่วนตัวเป็นหลัก อาจกู้ยืมได้ยาก
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถจัดระดมทุน เพิ่มทุน หรือจัดหาพันธมิตรธุรกิจได้ง่ายกว่า
ศึกษาการทำธุรกิจรูปแบบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ก่อนทำกิจการคลิกอ่านเต็มๆ ที่นี่

เปรียบเทียบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา แบบไหนเหมาะกับคุณ
การทำธุรกิจรูปแบบ “บุคคลธรรมดา”

การทำธุรกิจรูปแบบนี้ส่วนมากจะเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของลงทุนคนเดียว หรือในลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่ได้จดทะเบียน) ซึ่งมีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และถึงแม้ไม่ต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี แต่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงรายได้ รายจ่าย ผลกําไรหรือขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
การทำธุรกิจรูปแบบ “นิติบุคคล”

ธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล จะมีทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รูปแบบนี้จะต้องมีการจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี พร้อมทั้งมีผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชี จึงทำให้ง่ายต่อการขยายกิจการ การติดต่อกับลูกค้า หรือแม้แต่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็สามารถทำได้ง่ายกว่าเช่นกัน เนื่องจากมีข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือ  แต่หากมองเรื่องของความเสี่ยงในแง่ความรับผิดชอบในหนี้สิน ก็จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะธุรกิจจะถูกแยกจากตัวเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน
อยากรู้รายละเอียดการทำธุรกิจแต่ละรูปแบบเพิ่มเติมคลิกอ่านได้ที่นี่

นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ? มุมมองที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนวางแผนภาษี
การทำความเข้าใจว่า นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะการทำความเข้าใจถึงบริบทความแตกต่างของ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา จะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางธุรกิจที่เหมาะสม ประหยัดภาษี ลดความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการเติบโตระยะยาว 
สนใจอยากวางแผนภาษี ขอแนะนำนรินทร์ทอง เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีโดยตรง ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น


  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




14

เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ ประเด็นแรกๆ ที่ควรให้ความสำคัญ คือ "การจดทะเบียนบริษัท" ว่าจะเป็นในรูปแบบ “บุคคลธรรมดา” หรือ “นิติบุคคล” เพราะ 2 รูปแบบนี้มีความต่างกันทั้งในเรื่องข้อดี ข้อเสีย รวมถึงการจัดทำบัญชีและภาษี ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมาย ถ้าไม่อยากพลาดข้อมูลดีๆ เหล่านี้ นรินทร์ทอง มีสาระดีๆ มานำเสนอ
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดาต่าง กัน อย่างไร ?หาคำตอบเพิ่มเติมที่นี่
นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ?

1. ความรับผิดชอบต่อหนี้สิน
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ต้องรับผิดชอบไม่จำกัด สามารถนำทรัพย์สินส่วนตัวมาชดใช้หนี้ธุรกิจได้
  • สำหรับนิติบุคคล: จำกัดความรับผิดตามทุนที่ลงทุน เช่น ผู้ถือหุ้นลงทุน 100,000 บาท ก็รับผิดชอบแค่ในวงเงินนั้น
2. การเสียภาษี
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: อัตราภาษีสูงสุดอยู่ที่ 35% โดยการคำนวณภาษีมี 2 วิธี
วิธีที่ 1 เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีก้าวหน้า (เงินได้สุทธิ = รายได้ – รายจ่าย – ค่าลดหย่อน)
วิธีที่ 2 รายได้นอกเหนือจากเงินเดือน หรือค่าจ้างแรงงานก่อนหักค่าใช้จ่าย x 0.5%
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการจะเสียภาษีจากกำไรสุทธิ (รายได้-รายจ่าย) อัตราภาษี หากเป็นนิติบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 20% สำหรับ SME มีการยกเว้น/ลดหย่อน อัตราภาษีในลักษณะขั้นบันได สูงสุดไม่เกิน 20%

3. การคำนวณค่าใช้จ่าย
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: สามารถเลือกหักค่าใช้จ่าย ได้ 2 วิธี คือ 1. หักแบบเหมา โดยไม่ต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่าย แต่ส่วนใหญ่จะหักได้น้อยกว่าหักค่าใช้จ่ายตามจริง และ 2. หักตามจริง ซึ่งต้องมีหลักฐานพิสูจน์รายจ่ายนั้นๆ
  • สำหรับนิติบุคคล: ผู้ประกอบการ SME จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล สามารถนำรายการค่าใช้จ่ายบางประเภทมาหักได้มากกว่าค่าใช้จ่ายจริง สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภทในอัตราเร่งได้ (นับจากวันที่ได้มา)

4. อายุธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: จะสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าของเสียชีวิตหรือหยุดกิจการ
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถอยู่ต่อได้แม้เจ้าของเปลี่ยนมือ และสามารถโอนหุ้นหรือสืบทอดกิจการได้
5. การขยายธุรกิจ
  • สำหรับบุคคลธรรมดา: ใช้ทุนส่วนตัวเป็นหลัก อาจกู้ยืมได้ยาก
  • สำหรับนิติบุคคล: สามารถจัดระดมทุน เพิ่มทุน หรือจัดหาพันธมิตรธุรกิจได้ง่ายกว่า
ศึกษาการทำธุรกิจรูปแบบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ก่อนทำกิจการคลิกอ่านเต็มๆ ที่นี่

เปรียบเทียบ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา แบบไหนเหมาะกับคุณ
การทำธุรกิจรูปแบบ “บุคคลธรรมดา”

การทำธุรกิจรูปแบบนี้ส่วนมากจะเป็นกิจการขนาดเล็ก เจ้าของลงทุนคนเดียว หรือในลักษณะของห้างหุ้นส่วนสามัญ (ไม่ได้จดทะเบียน) ซึ่งมีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และถึงแม้ไม่ต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี แต่ต้องจัดทำรายงานเงินสดรับ - จ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการทราบถึงรายได้ รายจ่าย ผลกําไรหรือขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจ และใช้เป็นหลักฐานประกอบการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
การทำธุรกิจรูปแบบ “นิติบุคคล”

ธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล จะมีทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนจำกัด และบริษัทจำกัด ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งที่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รูปแบบนี้จะต้องมีการจัดทำบัญชีตามมาตรฐานบัญชี พร้อมทั้งมีผู้ตรวจสอบและรับรองบัญชี จึงทำให้ง่ายต่อการขยายกิจการ การติดต่อกับลูกค้า หรือแม้แต่การเข้าถึงแหล่งเงินทุนก็สามารถทำได้ง่ายกว่าเช่นกัน เนื่องจากมีข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือ  แต่หากมองเรื่องของความเสี่ยงในแง่ความรับผิดชอบในหนี้สิน ก็จะมีความเสี่ยงน้อยกว่า เพราะธุรกิจจะถูกแยกจากตัวเจ้าของกิจการอย่างชัดเจน
อยากรู้รายละเอียดการทำธุรกิจแต่ละรูปแบบเพิ่มเติมคลิกอ่านได้ที่นี่

นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ? มุมมองที่ผู้ประกอบการต้องรู้ก่อนวางแผนภาษี
การทำความเข้าใจว่า นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา ต่าง กัน อย่างไร ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะการทำความเข้าใจถึงบริบทความแตกต่างของ นิติบุคคล กับ บุคคลธรรมดา จะช่วยให้คุณเลือกเส้นทางธุรกิจที่เหมาะสม ประหยัดภาษี ลดความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการเติบโตระยะยาว 
สนใจอยากวางแผนภาษี ขอแนะนำนรินทร์ทอง เพราะเราคือผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีและภาษีโดยตรง ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น


  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339




15


ปัจจุบันนี้เมื่อเทคโนโลยีพัฒนา อะไรๆ ก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ง่ายขึ้น เรื่องการจดทะเบียนบริษัทก็เช่นเดียวกัน เพราะเราสามารถ จดบริษัทออนไลน์  ผ่านระบบ DBD Biz Regist ได้ด้วยตัวเอง สำหรับใครที่ต้องการศึกษาหาข้อมูลก่อนจดทะเบียนบริษัท นรินทร์ทอง แนะนำว่าให้อ่านบทความนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการ จดบริษัทออนไลน์ กับ DBD Biz Regist เอาไว้ที่นี่!

ทำความเข้าใจ จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ กับ DBD Biz Regist เพิ่มเติมคลิก

จดบริษัทออนไลน์ ราคาเท่าไหร่?


1. คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด (แบบ บอจ.1)
2. หนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บอจ.2)  ชำระค่าอากรแสตมป์ 200 บาท
3. แบบวัตถุที่ประสงค์ (แบบ ว.)
4. ใบแจ้งผลการจองชื่อนิติบุคคลที่ยังไม่หมดอายุ
5. หลักฐานให้ความเห็นชอบในการจัดตั้งบริษัท  เพื่อประกอบธุรกิจจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ใช้เฉพาะในการประกอบธุรกิจที่มีกฎหมายพิเศษควบคุม)
6. สำเนาบัตรประจำตัวของผู้เริ่มก่อการทุกคน (โดยดูจากหลักเกณฑ์เรื่องบัตรประจำตัว)
7. สำเนาหลักฐานการเป็นผู้รับรองลายมือชื่อ (ถ้ามี)  (โดยดูจากหลักเกณฑ์การลงลายมือชื่อผู้ขอจดทะเบียน)
8. หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
ขั้นตอนการ จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ ผ่าน DBD Biz Regist
วิธีสมัครเพื่อเข้าสู่ระบบ DBD Biz Regist ก่อนเริ่ม จดบริษัทออนไลน์

  • จากนั้นจะเห็นข้อมูลส่วนตัวของเราขึ้นมาอัตโนมัติ > กดดำเนินการต่อ
  • กรอกเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้ และกรอกที่อยู่ในประเทศไทย
  • เมื่อกรอกเสร็จแล้ว ระบบจะให้ยืนยันการส่งข้อมูลอีกครั้ง หากตรวจสอบแล้วข้อมูลถูกต้อง > กดดำเนินการต่อ
  • ทางระบบจะส่ง PIN Code ให้ทาง E-Mail จากนั้นใส่ PIN Code ที่ได้รับและกดยืนยัน ทางเว็บไซต์จะขึ้นว่า ‘ลงทะเบียนสำเร็จ’
ทำความเข้าใจ ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์  เพิ่มเติมคลิก
ขั้นตอนที่ 1 ระบุข้อมูลบริษัท
  • เข้ามาที่หัวข้อ‘จัดตั้งบริษัท’หากต้องการจดบริษัททันทีเลือกหัวข้อ ‘จดหนังสือบริคณห์สนธิพร้อมจัดตั้งบริษัท’


  • รายการข้อมูลที่จำเป็น ต้องเตรียมก่อนจดจัดตั้งนิติบุคคลขึ้นมา ให้กดรับทราบด้านล่าง และกดดำเนินการต่อ
  • ระบุข้อมูลบริษัท ในขั้นตอนนี้ให้เริ่มจากการระบุข้อมูล ‘ชื่อบริษัท’ หากใครต้องการตั้งชื่อเฉพาะ ต้องจองชื่อในกรมธุรกิจารค้าก่อน
  • ตราประทับของบริษัท หากไม่มีให้กด ‘ไม่มี’ และถ้าบริษัทไหนมีให้กด ‘มี’ และแนบรูปแบบตราประทับ
  • ทุนบริษัท  ในปัจจุบันจะหมายถึง ทุนจดทะเบียนต่อหุ้น มูลค่าหุ้นขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 5 บาท
  • ทำการกรอกข้อมูลที่ตั้ง เมื่อกรอกเรียบร้อยแล้วกดดำเนินการต่อ จากนั้นระบบจะส่ง PIN Code ให้ทาง E-Mail เพื่อกดยืนยัน
ขั้นตอนที่ 2 เพิ่มข้อมูลบุคคลในบริษัท
  • ระบุข้อมูลส่วนตัวผู้เริ่มก่อการ (เริ่มจัดตั้งบริษัทต้องมีอย่างน้อย 2 คน) หากกรอกข้อมูลในขั้นตอนแรกครบถ้วน ระบบจะขึ้นข้อมูลส่วนตัวให้อัตโนมัติ แต่ต้องระบุข้อมูลตรง ‘อาชีพ’ เพิ่มเติม
  • กรอกข้อมูลผู้ถือหุ้น หากมีมากกว่าผู้เริ่มก่อการ สามารถเพิ่มรายชื่อผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมได้ ในส่วนของขั้นตอนนี้ให้ทำการกรอก ‘จำนวนหุ้น’ (ต้องตรงกับข้อเท็จจริง) และ ‘จำนวนเงินที่ชำระค่าหุ้น’
  • กรอกข้อมูลกรรมการ เป็นได้ทั้งผู้ถือหุ้นและไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น หากเป็นผู้ถือหุ้นให้เลือก ‘ชื่อกรรมการจากรายชื่อผู้ถือหุ้น’ หากไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้น ให้เลือก ‘ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการ’

ขั้นตอนที่ 3 สร้างเอกสาร


  • เลือกวัตถุประสงค์ของธุรกิจ ในส่วนนี้เป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ หากใครทำธุรกิจตรงกับหัวข้อไหนในระบบก็กดติ๊กได้เลย แต่ถ้าธุรกิจของเราเป็นธุรกิจทั่วไปให้เลือก ‘ไม่ใช่ธุรกิจพิเศษ’
  • เลือกรหัสธุรกิจ ค้นหารหัสที่มีหมวดหมู่ตรงกับธุรกิจของคุณ จากนั้นทำการกดบันทึก และดำเนินการต่อ
  • สร้างข้อบังคับของบริษัท ถ้ามี ให้เลือก ‘มีข้อบังคับ’ ทางระบบมีให้เลือกทั้งแบบสำเร็จรูป และกำหนดเอง
  • รายละเอียดการประชุม ในส่วนนี้จะต้องใส่ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ประชุมจัดตั้งบริษัท, เวลาเปิด – ปิดการประชุม, สถานที่ประชุม, ข้อมูลประธานที่ประชุม, ค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งบริษัท, ข้อมูลผู้สอบบัญชี
ขั้นตอนที่ 4 ข้อมูลการประกอบธุรกิจ


  • ข้อมูลประกอบธุรกิจ ในหัวข้อแรกจะขึ้นมาว่า รายการอื่นซึ่งเห็นสมควรให้ประชาชนทราบ ให้ตอบว่า ‘ไม่มี’ เพราะโดยทั่วไปแล้วจะไม่มี และถัดมาคือแบบบันทึกคำขอ
ขั้นตอนที่ 5 สรุปข้อมูลทั้งหมด 
ขั้นตอนนี้ทางระบบจะสรุปข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทให้ทั้งหมด ซึ่งคุณต้องทำการเช็กให้ดีว่าข้อมูลทั้งหมดถูกต้องไหม หรือสามารถทำการดาวน์โหลด แล้วปริ้นออกมาเป็นเอกสารได้
ศึกษาขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ แบบละเอียด เพิ่มเติมคลิก


อยากได้ที่ปรึกษา จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ แบบส่วนตัว แนะนำที่ นรินทร์ทอง

หลังจากที่ได้ศึกษาขั้นตอนการ จดทะเบียนบริษัทออนไลน์ ผ่าน DBD Biz Regist ระบบใหม่ บอกเลยว่ามีความสะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่ายมากๆ เพราะในระหว่างที่เราทำการกรอกข้อมูล ระบบจะตรวจสอบข้อมูล และมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ลดการกรอกข้อมูลที่ซ้ำซ้อน และยังมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการกรอกข้อมูลอีกด้วย แต่สำหรับผู้ประกอบการคนไหนที่ไม่มีความรู้ด้านบัญชีและภาษี ต้องการผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา จัดเตรียมเอกสารให้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง คอยดำเนินการให้ตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนขั้นตอนสุดท้าย สามารถจดได้ใน 1 วัน โดยไม่ต้องเสียเวลามาดำเนินการเอง ขอแนะนำ บริษัทนริทร์ทอง สำนักงาน รับทำบัญชี และจัดทำงบการเงิน โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านบัญชีและภาษี ด้วยประสบการณ์ที่ให้บริการมากกว่า 20 ปี โดยมีบริการให้คุณได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโต และมีประสิทธิภาพในการก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็น
  • การส่งภาษีอากร ทางเราสามารถยื่นภาษีให้ได้ โดยที่คุณไม่ต้องยุ่งยากกับการจัดเตรียมเอกสาร รวมไปถึงรับจัดทำรายงาน และให้คำปรึกษาทางด้านภาษี
  • รับจดทะเบียนบริษัท เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทของคุณ โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการจดทะเบียน เพราะเราสามารถช่วยคุณได้
  • งานทางด้านการเงิน จะเป็นการดำเนินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบเงินเดือน และประกันสังคมของพนักงานที่ทำงานอยู่ภายในบริษัท
  • ให้บริการรับทำบัญชี หากใครที่กำลังรู้สึกว่าการทำบัญชีนั้นเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมากมายภายในบริษัท ทางเราพร้อมที่จะดูแลคุณ


สำหรับใครที่ต้องการปรึกษาสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่…
Facebook : NarinthongOfficial
E-mail : [email protected]
Line : @Narinthong
Tel : 081-627-6872 , 02-404-2339


Pages: [1] 2 3 4