น้ำหมักผลไม้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ
"Enzyme Fruit Ferment" เป็นเครื่องดื่มที่ได้จากการนำผลไม้ชนิดต่างๆ มาหมักกับน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง โดยอาศัยกระบวนการหมักทางชีวภาพจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ ทำให้เกิดสารอาหารและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย
ประโยชน์ของน้ำหมักผลไม้[ul]
- อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: ผลไม้แต่ละชนิดมีวิตามินและแร่ธาตุที่แตกต่างกัน การนำมาหมักรวมกันจึงทำให้ได้สารอาหารที่หลากหลาย เช่น วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
- มีเอนไซม์: กระบวนการหมักทำให้เกิดเอนไซม์ธรรมชาติที่ช่วยในการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น
- มีสารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ
- ช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย: มีจุลินทรีย์ที่ดีต่อลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินและแร่ธาตุในน้ำหมักผลไม้ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ: สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง
[/ul]
ผลไม้ที่นิยมนำมาทำน้ำหมัก[ul]
- สับปะรด
- มะละกอ
- กล้วย
- มะม่วง
- ส้ม
- แอปเปิล
- มะนาว
[/ul]
วิธีทำน้ำหมักผลไม้[ol]
- เตรียมผลไม้ที่ต้องการ (ควรเลือกผลไม้ที่สดใหม่และปลอดสารพิษ)
- ล้างผลไม้ให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- เตรียมน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง (อัตราส่วนโดยทั่วไปคือ ผลไม้ 3 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน)
- นำผลไม้ น้ำตาล และน้ำสะอาดใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิท
- คนให้เข้ากัน ปิดฝาให้สนิท
- หมักทิ้งไว้ประมาณ 1-3 เดือน ในที่ร่ม อุณหภูมิห้อง
- เมื่อครบกำหนด กรองเอากากออก จะได้น้ำหมักผลไม้
[/ol]
ข้อควรระวัง[ul]
- ควรเลือกใช้ผลไม้ที่สดใหม่และปลอดสารพิษ
- ภาชนะที่ใช้หมักควรสะอาดและมีฝาปิดสนิท
- ระหว่างการหมัก ควรเปิดฝาคนบ้าง เพื่อระบายแก๊ส
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนดื่ม
[/ul]
สรุปน้ำหมักผลไม้เป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม แต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม และเลือกใช้วัตถุดิบที่สะอาดปลอดภัย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติ